การแพ้ถั่วเป็นหนึ่งในอาการแพ้อาหารที่พบได้บ่อยและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต บทความนี้จะแนะนำวิธีสังเกตอาการ การรับมือ และข้อควรระวังสำหรับผู้ที่แพ้ถั่ว
ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการแพ้ถั่ว
การแพ้ถั่วเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองต่อโปรตีนในถั่วอย่างผิดปกติ โดยโปรตีนเหล่านี้ไม่สลายตัวแม้ผ่านความร้อน ถั่วที่ก่อให้เกิดอาการแพ้แบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก:
ถั่วเมล็ดแห้ง
– ถั่วลิสง
– ถั่วลูกไก่ (Chickpeas)
– ถั่วเลนทิล (Lentils)
ถั่วประเภทยืนต้น (Tree Nuts)
– อัลมอนด์
– เม็ดมะม่วงหิมพานต์
– แมคคาเดเมีย
– วอลนัท
– พิสตาชิโอ
– ถั่วพีแคน
อาการแพ้ถั่วที่ควรสังเกต
อาการแพ้มักเกิดขึ้นภายในไม่กี่นาทีถึง 1 ชั่วโมงหลังรับประทาน โดยมีอาการดังนี้:
อาการเบื้องต้น
– ชาบริเวณปากและลำคอ
– ริมฝีปากบวม
– ผื่นแดงคันตามผิวหนัง
– คัดจมูกและน้ำมูกไหล
– ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน
อาการรุนแรง (Anaphylaxis)
– หายใจลำบาก
– หายใจมีเสียงหวีด
– หัวใจเต้นเร็ว
– ความดันโลหิตลดลง
– อาจหมดสติ
การรักษาและป้องกันการแพ้ถั่ว
การวินิจฉัย
1. จดบันทึกอาการและอาหารที่รับประทาน
2. การทดสอบทางผิวหนัง (Skin Prick Test)
3. การตรวจเลือดเพื่อหาการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน
การป้องกัน
– อ่านฉลากผลิตภัณฑ์อย่างละเอียด
– หลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนผสมของถั่ว
– ระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อทานอาหารนอกบ้าน
– แจ้งให้คนใกล้ชิดทราบถึงอาการแพ้
– พกบัตรข้อมูลการแพ้และยาฉุกเฉิน
การรับมือเมื่อเกิดอาการแพ้รุนแรง
ขั้นตอนฉุกเฉิน
1. จัดให้ผู้ป่วยนอนราบและยกขาสูง
2. ฉีดยาอิพิเนฟรินที่ต้นขา
3. รีบนำส่งโรงพยาบาลทันที
ข้อควรระวังในชีวิตประจำวัน
อาหารที่ต้องระวัง
– เนยถั่วและน้ำมันถั่ว
– ขนมอบต่างๆ
– ไอศกรีมและช็อกโกแลต
– อาหารไทยที่มีถั่วเป็นส่วนผสม
– เครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางชนิด
ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่อาจมีส่วนผสมของถั่ว
– อาหารสัตว์
– ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด
– เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว